วันขยะอิเล็กทรอนิกส์สากล หรือ International E-Waste Day เริ่มตั้งแต่ 14 เมษายน ปี 2002 เพื่อรณรงค์และสร้างการตระหนักรู้ พร้อมการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Waste ที่นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการมาถึงของเทคโนโลยีดิจิทัล
ทั้งนี้จากข้อมูลขององค์การสหประชาชาติ พบว่า ทั่วโลกสร้าง E-Waste ขนาดเล็กแล้วกว่า 22 ล้านตันในปี 2019 คิดเป็นประมาณ 40% ของ E-Wasteทั้งหมดที่ผลิตทั่วโลก และหากปริมาณของ E-Waste เล็กๆ เหล่านี้ยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกับ E-Wasteทั้งหมดที่โตราว 3% ต่อปี ก็จะเป็นตัวเลขถึง 29 ล้านตันภายในปี 2573 ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงกับการเพิ่มขึ้นของมลพิษหากไม่ถูกนำไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธีตามมาตรฐานสากล
โดยพบว่าปัจจุบันมีค่าเฉลี่ยในการครอบครอง E-Waste ขนาดเล็ก เช่น โทรศัพท์มือถือ สายชาร์จ หูฟัง ที่มักถูกทิ้งไว้ในบริเวณต่างๆ ของบ้าน มากถึง 5 กก. ต่อคน และมีแต่จะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอัตราการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งแน่นอนว่าจะนำมาซึ่งมลพิษต่อคนในครอบครัวและสิ่งแวดล้อม หากไม่มีกระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี”
“ดังนั้น โครงการ “คนไทยไร้ E-waste” จากจุดเริ่มต้นในปลายปี 2019 – 2022 ที่ได้ร่วมกับพันธมิตรกว่า 142 องค์กรเพื่อรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่การกำจัดอย่างถูกวิธีและยั่งยืน ที่ปัจจุบันได้ร่วมกันเก็บ E-Waste ได้แล้วถึง 351,300 ชิ้น ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ 3,513,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเทียบเท่าต้นไม้ขนาดใหญ่ 390,333 ต้น
พร้อมตั้งเป้าว่า ภายในปี 2023 เราจะนำขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธีให้ได้ถึง 500,000 ชิ้น จึงขอเป็นตัวแทนคนไทยเชิญชวนให้นำ E-Waste ขนาดเล็ก 4 ประเภท ได้แก่ 1.มือถือ/แท็บเล็ต 2.สายชาร์จ 3.หูฟัง 4.แบตเตอรี่มือถือ มาทิ้งได้ที่