ข้อมูลจาก Microsoft ระบุว่า การโจมตีทางไซเบอร์ คือ ความพยายามที่จะเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต และขโมย แก้ไข หรือทำลายข้อมูล ดังนั้น การโจมตีทางไซเบอร์จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเสียหาย เข้าควบคุม หรือเข้าถึงเอกสารและระบบที่สำคัญภายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทั้งของธุรกิจและของส่วนบุคคล มีจุดประสงค์ทางการเมือง อาชญากรรม หรือทำลายหรือเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับ
ซึ่งการโจมตีทางไซเบอร์นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ที่เราคุ้นเคยกันดีก็น่าจะเป็น “ไวรัสคอมพิวเตอร์” โดยจริง ๆ แล้ว ไวรัสคอมพิวเตอร์ก็เป็นเพียงมัลแวร์ (Malware) ประเภทหนึ่งที่ใช้สำหรับโจมตีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เท่านั้น ยังมีมัลแวร์อื่น ๆ อย่าง Worm (หนอน), Ransomware (แรนซัมแวร์), Spyware (สปายแวร์) ทั้งหมดนี้สามารถแฝงตัวมากับอีเมลของเราได้ และยังรวมถึงยังมีรูปแบบการโจมตีแบบอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น ฟิชชิง (Phishing) เว็บไซต์ปลอม (DNS Spoofing or Poisoning) หรือการคาดเดารหัสผ่าน (Password Attack) เป็นต้น
เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนเราอย่างแยกไม่ออก และเราก็ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นที่เก็บข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนไว้มากมาย ทำให้พื้นที่เก็บข้อมูลมือถือได้กลายเป็นเป้าหมายสูงสุดสำหรับแฮกเกอร์ที่ต้องการขโมยข้อความ รายชื่อผู้ติดต่อ และภาพถ่าย ตลอดจนติดตามตำแหน่งของผู้ใช้ หรือแม้แต่การแอบเปิดกล้องถ่ายวิดีโอและเปิดไมโครโฟนบันทึกเสียงของพวกเราด้วย
นายกรัฐมนตรีแห่งออสเตรเลีย ได้แนะนำวิธีการง่าย ๆ ที่ทำได้ทุกวันนั่นคือ ปิดโทรศัพท์ทุกวัน เป็นเวลาเพียง 5 นาที นั่นหมายความว่าเราจะทำมันตอนไหนก็ได้ ทำระหว่างแปรงฟันก่อนเข้านอนยังได้เลย! ซึ่งคำแนะนำนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีก็เห็นด้วย แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีมีแนวคิดที่ให้ออกจากการใช้แอปพลิเคชันเป็นระยะ ๆ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของโทรศัพท์มือถือ แต่การรีบูตเครื่องโทรศัพท์จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป
สาเหตุก็คือ เมื่อแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงอุปกรณ์หรือเครือข่ายของเราด้วยมัลแวร์ มัลแวร์บางส่วนไม่ได้ฝังอยู่ในหน่วยความจำระบบปฏิบัติการ แต่จะรันอยู่ในหน่วยความจำของโทรศัพท์เสียมากกว่า ซึ่งเมื่อเราบูตเครื่องใหม่ มัลแวร์เหล่านี้จะหายไปด้วย หรืออย่างน้อยที่สุด การรีบูตเครื่องก็รบกวนการทำงานของมัลแวร์ เป็นเหตุให้แฮกเกอร์เข้าถึงอุปกรณ์ของเราได้ลำบากขึ้น ทว่าด้วยพฤติกรรมของคนเราที่ไม่ค่อยปิดโทรศัพท์ มัลแวร์จึงทำงานได้สบาย ๆ
อย่างไรก็ตาม คำแนะนำของนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียไม่ใช่เรื่องใหม่ ในปี 2020 สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NSA) ก็เคยรับรองคำแนะนำนี้ โดยแนะนำให้รีบูตเครื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงในการโดนแฮก จากนั้นในปี 2021 Angus King วุฒิสมาชิกคณะกรรมาธิการข่าวกรองของวุฒิสภาสหรัฐฯ ก็เคยออกมาบอกว่าเขาปฏิบัติตามเคล็ดลับนี้จนมันเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของเขาแล้ว หลังจากที่ NSA เผยแพร่แนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยดังกล่าว
แม้ว่าการรีบูตเครื่องโทรศัพท์เป็นประจำจะไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีจากเหล่าแฮกเกอร์ได้ถาวร แต่ก็ทำให้แฮกเกอร์ที่เชี่ยวชาญที่สุดต้องทำงานหนักขึ้นแน่นอนในการพยายามเข้าถึงและขโมยข้อมูลจากโทรศัพท์
นอกจากนี้ Dr. Priyadarsi Nanda อาจารย์อาวุโสที่ University of Technology Sydney ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ก็เห็นด้วยกับคำแนะนำนี้ เขากล่าวว่าการรีบูตเครื่องโทรศัพท์เป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีทางไซเบอร์ลงได้ เนื่องจากมันเป็นการบังคับปิดแอปพลิเคชันและกระบวนการต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่บนพื้นหลังของโทรศัพท์ ที่อาจจะกำลังติดตามผู้ใช้งานหรือรวบรวมข้อมูลอย่างมุ่งร้าย เพราะผู้ใช้งานจำนวนมากมักไม่รู้ว่ามีแอปพลิเคชันอะไรบ้างที่ทำงานบนพื้นหลัง และอาจมีกระบวนการอื่นที่เป็นอันตรายที่กำลังทำงานอยู่บนอุปกรณ์ที่ถูกบุกรุกด้วย กระบวนการเหล่านี้สามารถหยุดได้ด้วยการปิดโทรศัพท์
แม้ว่าจะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ ที่โทรศัพท์ปิดอยู่ก็ตาม และอาจปกป้องมือถือของเราได้ไม่เต็มที่ แต่มันต้องทำให้แฮกเกอร์ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะการปิดเครื่องทำให้อะไรต่ออะไรมันยากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงสนับสนุนคำแนะนำเรื่องการรีบูตเครื่องโทรศัพท์เป็นประจำ ส่วน Dr. Arash Shaghaghi อาจารย์อาวุโสด้านความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์จาก University of New South Wales ก็กล่าวว่าการรีบูตเครื่องทุกวันเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับ “กระตุ้นให้ผู้ใช้มีสุขอนามัยทางไซเบอร์ที่ดี” เพราะการตัดการเชื่อมต่อสามารถลดความเสี่ยงได้ ตราบใดที่เราไม่ได้ถูกขโมยรหัสผ่าน หรือเมื่ออุปกรณ์ของเราไม่ได้ถูกโจมตีด้วยมัลแวร์ถาวร
สำหรับมัลแวร์ประเภทสปายแวร์ (และไวรัสอื่น ๆ) สิ่งที่เราทำได้มากที่สุด คือ การป้องกันตนเองไม่ให้ไปรับเอามัลแวร์มาติดอุปกรณ์โดยไม่รู้ตัว แม้ว่าเรามีโอกาสเสี่ยงสูงเป็นปกติจากการใช้งานออนไลน์และอินเทอร์เน็ตอยู่แล้วก็ตาม สามารถทำได้ดังนี้
สำหรับวิธีเบื้องต้นที่ง่ายและเบสิกที่สุด ที่นักท่องอินเทอร์เน็ตอย่างเรา ๆ ควรทราบเพื่อป้องกันตัวเองและทรัพย์สินจากภัยออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ คือ ต้องรู้ว่ามิจฉาชีพจะเข้าถึงอุปกรณ์ของเราได้ก็ต่อเมื่อเราไปกดลิงก์เพื่อกรอกข้อมูลหรือติดตั้งอะไรบางอย่างไว้ในอุปกรณ์ (ซึ่งอาจจะไม่รู้ตัว) ดังนั้น วิธีป้องกันง่าย ๆ จึงมีดังนี้