เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมารัฐสภาของสหภาพยุโรป (อียู) ได้อนุมัติกฎหมายชุดแรกของโลกเพื่อควบคุมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (EU AI Act) คาดหมายกันว่า กฎหมายฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับในตอนท้ายของสภานิติบัญญัติในเดือนพฤษภาคม หลังจากผ่านการตรวจสอบขั้นสุดท้ายและได้รับการรับรองจากสภายุโรป และจะมีการเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ความพยายามของการออกกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่ปี 2564 ที่ผ่านมา มีเป้าหมายว่า ระบบ AI ในสหภาพยุโรปจะเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานและเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการลงทุนและการสร้างนวัตกรรม รวมทั้งสร้างกฎระเบียบที่ชัดเจนสำหรับหน่วยงานควบคุม AI รัฐบาลของประเทศต่างๆ ได้หวั่นถึงความเป็นไปได้ที่ Deepfakes ซึ่งเป็นรูปแบบของ AI ที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์เท็จ รวมถึงภาพถ่ายและวิดีโอจะมากระทบในวงกว้าง
สำหรับเนื้อหาหลักของกฎหมายดังกล่าวได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1.AI ที่มีความเสี่ยงสูง ห้ามใช้ AI ประเภทนี้ เช่น ระบบ AI ที่ใช้ในการระบุใบหน้าแบบเรียลไทม์
2.AI ที่มีความเสี่ยง ข้อกำหนดให้ผู้พัฒนาและผู้ใช้ AI ประเภทนี้ปฏิบัติตาม เช่น การจัดทำเอกสารประกอบ การประเมินความเสี่ยง และการตรวจสอบ
3.AI ที่มีความเสี่ยงต่ำ กำหนดให้ผู้พัฒนา และผู้ใช้ AI ประเภทนี้ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
4. AI ทั่วไป กำหนด ให้ผู้พัฒนาและผู้ใช้ AI ประเภทนี้ปฏิบัติตามหลัก การทั่วไป เช่น มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีความยุติธรรม
สำหรับประเทศ ที่ไม่ใช่สมาชิกสหภาพ ยุโรป กฎหมายนี้จะมีผลครอบคลุมในหลายมิติ เช่นห้ามส่งออกระบบ AI เพื่อการกระทำต้องห้ามตามร่างกฎหมาย ข้อกำหนด ต่างๆจะไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ให้บริการระบบ AI ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการสร้างผลงานจาก AI ที่จะนำเข้ามาใช้ในเขตสหภาพยุโรป รวมไปถึงหาก AI ที่มีผู้ดำเนินการอยู่นอกสหภาพยุโรปมีแนวโน้มกระทบต่อบุคคลในเขตสหภาพยุโรป จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกันสัปดาห์ก่อนหน้า ทางสหภาพยุโรปได้นำกฎหมาย Digital Markets Act (DMA) ที่มุ่งให้ตลาดดิจิทัลในภูมิภาคนี้มีความยุติธรรมและสามารถแข่งขันกันได้มากขึ้น โดยมาบังคับใช้ควบคุมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ และจีนให้เปิดบริการในภาคส่วนต่างๆที่พวกเขาได้ปิดกั้นรายเล็ก
สำหรับผู้ใช้ 6 บริษัทได้แก่ อัลฟาเบต บริษัทแม่กูเกิล, แอมะซอน, แอปเปิล, เมตาบริษัทแม่เฟซบุ๊ก และไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็น 5 ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ และ ByteDance เจ้าของ TikTok ของจีน
ซึ่งทางแอปเปิลได้ตอบสนองกับกฎหมาย DMA ทันทีประกาศว่า จะเปิดทางให้ผู้ใช้ iPhone, iPad ที่อยู่ในสหภาพยุโรปสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน นอก เหนือ iOS ได้ โดยผู้ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถเข้าไปดาวน์ โหลดผ่านเว็บไซต์ของนักพัฒนาแอปได้โดยตรง
นักพัฒนาแอปสามารถเสนอทางเลือกการชำระเงินภายในแอปของตนเองได้ แทนที่จะต้องใช้ระบบการชำระเงินของแอปเปิล โดยที่นักพัฒนาแอปยังสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการของแอปเปิล บน iOS ได้เท่าเทียมกัน
นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ แอปเปิลที่มีประวัติการคัดค้านการดาวน์โหลดแอปผ่านเว็บไซต์มานานหลายปี ซึ่งมองกันว่าแอปเปิล หลีกเลี่ยงการเสียค่าปรับ โดยทางสหภาพยุโรปสามารถสั่งปรับได้สูงถึง 10% ของยอดขายทั่วโลก รวมไปถึงความต้องการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด iPhone ในยุโรป
แต่ก็มีความกังวลว่ากฎหมายดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
กฎหมาย DMA ของสหภาพยุโรปพุ่งเป้าไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีฐานผู้ใช้รายเดือนอย่างต่ำ 45 ล้านคน มีมูลค่าตลาดอย่างต่ำ 75,000 ล้านยูโร ซึ่งมี gatekeeper เป็นตัวควบคุมการเข้าถึงเพื่อให้การบริการแอปที่กำหนดเองทำงานได้ราบรื่น.